มรดกตกทอด ของ ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์

ภาพลักษณ์ของพระองค์

ไดอานาทรงเป็นหนึ่งในสมาชิกราชวงศ์อังกฤษที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ และพระองค์ทรงมีอิทธิพลต่อราชสำนักและพระราชวงศ์รุ่นหลัง[215][216] ตั้งแต่การประกาศหมั้นกับเจ้าชายแห่งเวลส์ใน พ.ศ. 2524 จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ใน พ.ศ.​2540 ไดอานาคือบุคคลสำคัญของโลก และถือได้ว่าพระองค์เป็นสตรีที่ถูกถ่ายภาพมากที่สุดในโลก[19][217] พระองค์มีชื่อเสียงจากความเห็นอกเห็นใจผู้ตกทุกข์ได้ยาก[218] สไตล์การแต่งกาย บุคลิกทรงเสน่ห์ของพระองค์ พระราชกิจด้านกาารกุศลระดับโลกของพระองค์ และชีวิตสมรสอันขมขื่นกับเจ้าชายแห่งเวลส์ อดีตราชเลขานุการส่วนพระองค์กล่าวถึงพระองค์ว่า ทรงบริหารจัดการเรื่องต่าง ๆ ได้ดีเยี่ยมและมุ่งมั่นในการทรงงาน เจ้าชายชาลส์พระสวามีทรงไม่สามารถยอมรับความจริงได้ว่า ไดอานานั้นได้รับความนิยมจากประชาชนอย่างล้นหลาม[219] แต่ความมุมานะของพระองค์อาจกลายเป็นความมุทะลุเมื่อใดก็ตามที่ทรงรู้สึกว่าได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม[219] 

พอล เบอร์เรล อดีตมหาดเล็กที่เคยถวายงานรับใช้พระองค์จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ กล่าวว่าพระองค์ทรงเป็นนักคิดที่สุขุมและลึกซึ้ง[220] ภาพลักษณ์ของไดอานาต่อสาธารณชนคือการเป็นพระมารดาที่ทุ่มเทอุทิศพระองค์ให้แก่พระโอรส[19][221] และพระบุคลิกภาพของพระโอรสทั้งสองได้รับอิทธิพลมาจากพระบุคลิกภาพและพระจริยวัตรของเจ้าหญิงอย่างไม่ต้องสงสัย ในช่วงปีแรก ๆ ของการเป็นเจ้าหญิงแห่งเวลส์ ทรงถูกจดจำจากพระบุคลิกภาพที่เขินอายและสนุกสนานร่าเริง[215][222] พระปฏิภาณไหวพริบ ตลอดจนการแต่งกายโก้หรูของพระองค์[216] ผู้คนที่ได้มีโอกาสติดต่อปฏิสัมพันธ์กับพระองค์ต่างให้ความเห็นว่าทรงปฏิบัติพระองค์ตามความต้องการจากพระทัย[19] พระองค์ทรงเข้มแข็งอดทน ซึ่งเห็นได้จากการที่ทรงปฏิบัติหน้าที่ได้เหมาะสมตามความคาดหวังของพระราชวงศ์ และทรงเอาชนะอุปสรรคและความทุกข์ยากต่าง ๆ ที่ถาโถมเข้ามาในระหว่างชีวิตสมรส ทั้ง ๆ ที่ทรงเข้ามาสู่ราชสำนักในขณะที่ยังเป็นเด็กสาวที่มีการศึกษาไม่มาก[115] 

การเสด็จออกไปเยี่ยมเยียนให้กำลังใจผู้ป่วย ผู้ป่วยระยะสุดท้าย ผู้ยากไร้ และผู้ที่ถูกทอดทิ้ง ทำให้ไดอานาเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย[223][222] พระองค์ทรงรับรู้ถึงความรู้สึกนึกคิดของประชาชน และทรงให้สัมภาษณ์ถึงความปรารถนาที่ทรงอยากเป็นที่รักของประชาชน เมื่อ พ.ศ. 2538 ว่า “ฉันปรารถนาที่จะเป็นราชินีในใจประชาชน”[222] นักชีวประวัติ ทินา บราวน์ ระบุว่า "เพียงแค่พระองค์สบตา ก็ทรงสามารถดึงดูดใจผู้คนที่มาเข้าเฝ้าได้ราวกับว่าต้องมนต์สะกด” [224] ชื่อเสียงของพระองค์แผ่กระจาย ไปทั่วโลกจนนายโทนี แบลร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ถึงกับกล่าวว่า “เจ้าหญิงทรงแสดงถึงความเป็นอังกฤษสมัยใหม่”[220] ตลอดพระชนม์ชีพไดอานาทรงได้สานความผูกพันระหว่างพระองค์กับประชาชนทั่วโลก และเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ ทั่วทุกมุมโลกต่างแสดงความอาลัย บางคนตกอยู่ในอาการโศกเศร้าและร้องไห้คร่ำครวญเมื่อทราบข่าวการสิ้นพระชนม์[225]

พระองค์ทรงเป็นผู้ปูทางให้แก่สมาชิกพระราชวงศ์พระองค์อื่น ๆ ได้ประกอบพระกรณียกิจด้านการกุศลที่หลากหลายและเหมาะสมกับยุคสมัยใหม่มากขึ้น[115] และยังส่งผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบหลายอย่างภายในราชสำนัก[226] 

ยูจีน โรบินสัน เขียนไว้ในคอลัมน์หนังสือพิมพ์เดอะวอชิงตันโพสต์ ว่า “ไดอานาทรงผสมผสานบทบาทหน้าที่เจ้าหญิงเข้ากับความมีชีวิตชีวา ความกระตือรือร้น และสำคัญที่สุดคือ ความมีเสน่ห์ดึงดูดใจ”[19] อลิเซีย แคร์รอล แห่งหนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทมส์ เปรียบเทียบพระองค์ว่าเหมือนกับ “สายลมอันสดชื่น”[227] และพระองค์เป็นส่วนช่วยให้ราชวงศ์อังกฤษเป็นที่รู้จักมากขึ้นในสหรัฐอเมริกา

แม้ว่าจะทรงตกเป็นข่าวอื้อฉาวและมีปัญหามากมายในชีวิตสมรส แต่ความนิยมในตัวพระองค์ก็ยังอยู่ในระดับสูงสุดไม่เคยเสื่อมคลายจากผลการสำรวจต่าง ๆ[19] ทว่าเจ้าชายชาลส์ พระสวามีกลับมีคะแนนความนิยมตกตำเป็นอย่างมาก โดยคะแนนความนิยมของไดอานาในระหว่างปี พ.ศ. 2524–2555 อยู่ที่ร้อยละ 47[228]

พระองค์ทรงได้รับการเคารพรักราวกับปูชนียบุคคลจากชาวอังกฤษ หลังจากนายกรัฐมนตรีโทนี แบลร์ เรียกพระองค์ว่า “เจ้าหญิงของประชาชน” ในระหว่างการแถลงข่าวการสิ้นพระชนม์ การสิ้นพระชนม์จากอุบัติเหตุอย่างกะทันหันและไม่คาดฝันนำไปสู่ความโศกเศร้าอาลัยอาดูรของประชาชนทั่วเกาะอังกฤษและทั่วโลก[229] และตามมาด้วยวิกฤติการณ์ร้ายแรงภายในประเทศที่สั่นคลอนราชสำนัก[230][231][232] แอนดรูว์ มาร์ กล่าวถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ว่า พระองค์ทรงนำพา “อารมณ์ความรู้สึก” กลับคืนสู่สังคมอังกฤษอีกครั้ง[115] 

เอิร์ล สเปนเซอร์ พระอนุชา ได้ขึ้นกล่าวคำอาลัยในพระราชพิธีพระศพ ดังนี้ว่า 

"ไดอานาเป็นเนื้อแท้ของความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ภาระหน้าที่ สไตล์ และความงาม เธอเป็นสัญลักษณ์ของมนุษย์ทั่วโลกที่ไม่แก่ตัว เป็นผู้แบกรับระบบอำนาจเด็ดขาด และเป็นหญิงชาวอังกฤษแท้ ๆ ที่โดดเด่นเหนือเกินความเป็นชาติ เป็นเพียงคนธรรมดาไร้ยศฐาบรรดาศักดิ์แต่มีคุณธรรมสูงส่ง และได้แสดงให้เห็นแล้วว่าในปีสุดท้ายของชีวิต เธอไม่จำเป็นต้องใช้ยศฐาบรรดาศักดิ์ใด ๆ มาสร้างมนต์เสน่ห์แสนพิเศษให้กับตัวเธอ”[233]

ปี พ.ศ. 2540 พระองค์เป็นหนึ่งในผู้ได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้าชิงในตำแหน่ง “บุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์”[234] และปี พ.ศ. 2542 นิตยสารไทม์คัดเลือกพระองค์ให้อยู่ในรายชื่อ “100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลแห่งศตวรรษที่ 20”[235] ผลการสำรวจใน พ.ศ. 2545 ของสถานีโทรทัศน์บีบีซี ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ได้รับการโหวตให้อยู่อันดับที่ 3 ของชาวสหราชอาณาจักรผู้ยิ่งใหญ่ นำหน้าความนิยมสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และสมาชิกราชวงศ์พระองค์อื่น ๆ[236] ใน พ.ศ. 2548 ไดอานาอยู่ในอันดับที่ 12 ของผลการสำรวจ “100 บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น”[237] 

ถึงพระองค์จะเป็นบุคคลสาธารณะและสมาชิกพระราชวงศ์ที่ได้รับความนิยมชมชอบจากประชาชน แต่ตลอดพระชนม์ชีพไดอานาทรงตกเป็นประเด็นให้สื่อรุมวิพากย์วิจารณ์อยู่บ่อยครั้ง แพทริก เจฟสัน เลขานุการส่วนพระองค์ซึ่งปฏิบัติหน้าที่รับใช้เจ้าหญิงมานาน 8 ปีเต็ม ได้เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ เดอะเดลีเทเลกราฟ ว่า “ทรงมีความสุ่มเสี่ยงอย่างมากที่จะถูกนักวิจารณ์จิกสับตลอดพระชนม์ชีพ และแม้ว่าจะทรงสิ้นพระชนม์ไปแล้ว คำครหาเหล่านั้นก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะเบาบางลง”[215] 

ผู้สังเกตการณ์หลายคนให้ความเห็นว่า ไดอานาทรงปล่อยให้นักข่าวและช่างภาพปาปารัสซีเข้ามาในชีวิตของพระองค์ เพราะทรงรู้ว่าจะใช้สื่อมวลชนเป็นฐานอำนาจของพระองค์ได้อย่างไร[220] เช่นนั้นจึงทรงออกปฏิบัติพระราชกรณียกิจมากมายเกินความจำเป็น และทรงทำลายเส้นแบ่งขอบเขตระหว่างชีวิตส่วนพระองค์และชีวิตสาธารณะ[115][238] พระองค์ถูกวิจารณ์จากศาสตราจารย์ปรัชญา แอนโทนี โอเฮียร์ ว่า "พระองค์ไม่สามารถปฏิบัติพระราชกิจได้อย่างสมบูรณ์แบบ พฤติกรรมบุ่มบ่ามขาดความยั้งคิดของพระองค์กำลังบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ และทรงงานการกุศลเพียงเพื่อ “ตอบสนองความต้องการส่วนพระองค์” เท่านั้น[166] ภายหลังคำวิจารณ์ของศาสตราจารย์โอเฮียร์ถูกเผยแพร่ออกไป องค์กรการกุศลต่าง ๆ ที่เจ้าหญิงทรงให้การอุปถัมภ์ได้ออกมาโต้แย้งคำวิจารณ์นี้ว่าน่ารังเกียจและไม่เป็นการมิบังควร[166] กระแสต่อต้านพระองค์ยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีกเมื่อมีการกล่าวหาเจ้าหญิงว่า "ทรงใช้สถานะพิเศษทางสังคมเพื่อกอบโกยประโยชน์ส่วนพระองค์[81] และเกิดผลเสียร้ายแรงต่อภาพลักษณ์กองงานในพระองค์"[215] การทรงงานการกุศลของพระองค์ที่บางครั้งเจ้าหญิงมักทรงสัมผัสร่างกายผู้ป่วยโรคร้ายแรงและเป็นเรื่องแปลกใหม่ในสมัยนั้น ก่อให้เกิดกระแสตีกลับในทางลบจากสื่อมวลชน[215]

แซลลี บีเดล สมิธ บรรยาถึงพระบุคลิกภาพของไดอานาว่า “คาดเดาไม่ได้ เห็นแก่ตัว และหึงหวง”[81]สมิธยังได้โต้แย้งในความปรารถนาของพระองค์ในการทรงงานการกุศลว่า “ได้แรงจูงใจจากความต้องการส่วนพระองค์ มากกว่าความตั้งใจจริงเพื่อเยียวยาปัญหาสังคม”[81]แต่อย่างไรก็ดี ยูจีน โรบินสัน ออกมาแก้ต่างว่า พระองค์จริงจังในพระราชกิจการกุศลนี้"[19]

อย่างไรก็ตาม ซาราห์ แบรดฟอร์ด เปิดเผยว่า ไดอานานั้นมีความชิงชังต่อราชวงศ์วินด์เซอร์อยู่ไม่น้อยตามคำให้สัมภาษณ์ของผู้ใกล้ชิด ทรงให้ความเห็นว่าราชวงศ์ปัจจุบันเสวยราชสมบัติในฐานะ “เจ้าต่างเมือง” และยังทรงเรียกสมาชิกราชวงศ์พระองค์อื่นว่า “พวกเยอรมัน” [220]ทั้งนี้แบรดฟอร์ดยังเชื่อว่า ไดอานาทรงตกเป็นเหยื่อของการตัดสินใจที่ผิดพลาดและลงเอยด้วยการที่ทรงสูญเสียอภิสิทธิ์ทางสังคมหลังการให้สัมภาษณ์ในรายการพาโนรามา[220] นักประวัติศาสตร์หลายคนมองว่าพระองค์มีเล่ห์เหลี่ยมและมารยา[230][216] และอ้างว่าเจ้าหญิงทรงมีความสัมพันธ์ไม่สู้ดีกับพระสสุระ เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ[177][130] แต่บ้างก็มีแย้งว่าเนื้อหาในจดหมายที่สองพระองค์ทรงเขียนติดต่อกันไม่ได้ชี้ชัดว่าทรงมีความบาดหมางใจระหว่างกัน[231]

แอนน์ แอปเปิลบาม เชื่อว่า ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของไดอานา ไม่ได้ทำให้เกิดผลต่อการเปลี่ยนแปลงของมติมหาชนแต่อย่างใด [115]แนวคิดดังกล่าวนี้ได้ถูกรับรองโดยโจนาทาน ฟรีดแลนด์  เขาเคยเขียนในบทความไว้ตอนหนึ่งในหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนว่า “ความทรงจำและอิทธิพลของไดอานาแทบจะถูกกลืนหายไปภายในเวลาเพียงไม่กี่ปีหลังการสิ้นพระชนม์”[226] แต่ ปีเตอร์ คอนราด นักข่าวอีกคนแห่งเดอะการ์เดียน โต้แย้งว่า "แม้จะสิ้นพระชนม์ไปนานแล้วกว่าหนึ่งทศวรรษ แต่พระองค์ก็ยังไม่เคยเงียบหายไปจากสื่อ”[220] และอัลลัน มาสซี จากหนังสือพิมพ์ เดอะเทเลกราฟ ให้คำนิยามว่า ไดอานาคือ “คนดังของคนดัง” และทัศนคติของพระองค์ “จะยังคงกำหนดทิศทางในสังคมต่อไป”[238]

เจ้าหญิงไดอานาเสด็จฯ ไปร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ เมื่อ พ.ศ. 2530 ทรงฉลองพระองค์เดรสเกาะอกผ้าไหมสีฟ้าอ่อนของแคเธอริน วอล์กเกอร์​[239] ซึ่งเป็นหนึ่งชุดสุดไอคอนิกบนพรมแดงเมืองคานส์[240][241][242][243] โดยฉลองพระองค์นี้ได้รับแรงบันดาลใจจากชุดราตรีที่ เกรซ เคลลี สวมใส่ในฉากหนึ่งจากภาพยนตร์ "How to Catch a Thief"[244] และใน พ.ศ. 2556 ฉลองพระองค์ชุดนี้ถูกประมูลไปด้วยราคา 8 หมื่นปอนด์ (2.4 ล้านบาท)[245]

ความเป็นผู้นำแฟชัน

ไดอานาทรงเป็นผู้นำแฟชันและหญิงสาวมากมายทั่วโลกเลียนแบบสไตล์การแต่งกายของพระองค์ เอียน ฮอลลิงเชด แห่งหนังสือพิมพ์เทเลกราฟ เคยเขียนว่า “ไดอานาสามารถทำให้เครื่องแต่งกายขายดิบดี เพียงแค่สินค้าชิ้นนั้นปรากฏบนรูปถ่ายพระองค์” [246][247]ซึ่งคำอ้างดังกล่าวอิงจากปรากฏการณ์รองเท้าบู๊ตยางซึ่งทำยอดขายในอังกฤษพุ่งกระฉูดในคริสต์ทศวรรษ 1980 มาแล้ว เมื่อช่างภาพถ่ายภาพพระองค์ทรงสวมรองเท้าบู๊ตยางรุ่นดังกล่าวไปร่วมล่าสัตว์กับเจ้าชายชาลส์ ณ ปราสาทบัลมอรัล[246][248]

ดีไซเนอร์และผู้ที่มีโอกาสได้ถวายงานรับใช้พระองค์ ระบุว่า ไดอานาทรงใช้แฟชันและสไตล์การแต่งกายมาเพื่อส่งเสริมงานการกุศลของพระองค์ และแสดงความรู้สึกและสื่อสารผ่านการแต่งกาย[249][250][251] นอกจากนี้พระองค์ยังคงเป็นต้นแบบและแรงบันดาลใจให้กับสไตลิสต์ บุคคลผู้ชื่อเสียง และหญิงสาวผู้รักแฟชันทั่วโลก[251][252][253][209] [254][255]รวมทั้งนักร้อง ริอานนา ที่ยอมรับว่าเธอได้อิทธิพลทางแฟชันจากพระองค์ เธอยังบอกว่าชื่นชอบการแต่งกายในลุคต่าง ๆ ของพระองค์ โดยเฉพาะเสื้อแจ็คเก็ตแบบโอเวอร์ไซส์ของพระองค์ และพระมาลาหลากหลายสไตล์[256][257]

เจ้าหญิงทรงเลือกสไตล์การแต่งตัวตามแบบอย่างราชสำนักและสไตล์ที่เป็นนิยมในอังกฤษ[258] และทรงสร้างสรรค์แฟชันหลายแบบเพื่อพระองค์เอง[259] ในการเสด็จฯ เยือนต่างประเทศเพื่อการเจริญสัมพันธไมตรีอย่างเป็นทางการ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายหลายชิ้นของพระองค์ถูกคัดเลือกเพื่อให้เหมาะสมกับประเทศที่จะเสด็จไป และโปรดการสวมแต่งกายอย่างลำลองด้วยเสื้อแจ็คเก็ตทรงหลวมกับกางเกงจัมเปอร์ในเวลาส่วนพระองค์[253][260] แอนนา ฮาร์วีย์ อดีตบรรณาธิการนิตยสาร โว้ก และที่ปรึกษาด้านแฟชันของเจ้าหญิง กล่าวว่า "พระองค์ทรงคิดคำนึงอยู่ตลอดเวลาว่าการแต่งกายของพระองค์จะสื่อความหมายได้อย่างไรบ้าง และนี่เป็นสิ่งสำคัญต่อพระองค์อย่างมาก”[253][261]

เดวิน แซสซูน หนึ่งในแฟชันดีไซเนอร์ที่เคยร่วมงานกับพระองค์ เชื่อว่าเจ้าหญิงทรง “ฉีกกฎ” ระเบียบราชสำนักระหว่างทรงทดลองสไตล์ใหม่ ๆ[244] ไดอานาทรงเลิกสวมถุงมือตามอย่างพระราชวงศ์ฝ่ายใน เนื่องจากทรงเห็นว่าการสวมถุงมือนั้นเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับบุคคลที่พระองค์เสด็จฯ ไปเยี่ยมเยียน โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคร้าย อย่างเช่น โรคเอดส์[251][260] ในการเสด็จฯ ไปร่วมงานการกุศล เจ้าหญิงทรงเลือกใช้เครื่องแต่งกายที่มีรูปแบบหรือสีสันที่เข้ากันกับสภาพจิตใจของผู้ที่มาเข้าเฝ้าฯ ตัวอย่างเช่น ทรงเลือกเดรสสีสดและเครื่องประดับที่มีเสียงดังกรุ๊งกริ๊งสำหรับการเสด็จฯ ไปเยี่ยมและสามารถร่วมเล่นกับผู้ป่วยเด็กที่โรงพยาบาลได้[251][260]

ดอนนาเทลลา เวอร์ซาเช แฟชันดีไซเนอร์แห่งเวอร์ซาเช ซึ่งครั้งหนึ่งเคยร่วมออกแบบแฟชันกับเจ้าหญิง และจานนี เวอร์ซาเช พี่ชายผู้ล่วงลับของเธอ[249] ระบุว่า ความสนใจด้านแฟชันของพระองค์เริ่มต้นขึ้นหลังที่ทรงแยกกันอยู่กับเจ้าชายชาลส์ และไม่เคยมีใครมีความทุ่มเทเพื่อแฟชันอย่างเช่นพระองค์มาก่อน[249]

แคเธอริน วอล์กเกอร์ ซึ่งเป็นดีไซเนอร์คนโปรดของไดอานา[259] และทั้งสองได้ร่วมกันออกแบบและตัดเย็บ “ชุดยูนิฟอร์มของราชสำนัก”[244] เมื่อเจ้าหญิงจะเสด็จฯ ไปต่างประเทศอย่างเป็นทางการ แคเธอรินและสามีจะทำการค้นคว้าข้อมูลสำหรับใช้เป็นแนวทางในการออกแบบ และยึดกฎเกณฑ์ว่าเครื่องแต่งกายนั้นต้องไม่โดดเด่นเกินพระองค์โดยเด็ดขาด[249] และข้อมูลนี้สอดคล้องกับ ตากิ เธโอโดราโคปูโลส นักเขียน ได้เขียนถึงสไตล์การแต่งกายของไดอานาว่า “ทรงไม่ต้องการให้เสื้อผ้าสวมใส่พระองค์”[249]

อีเลรี ลินน์ ภัณฑรักษ์นิทรรศการ Diana: Her Fashion Story ให้ความเห็นว่า พระองค์ทรงไม่ต้องการเป็น “ไม้แขวนเสื้อ”[251] สไตล์เครื่องแต่งกายที่พระองค์และแคเธอรินร่วมกันออกแบบมีความเพรียวระหงและคล่องแคล่ว ซึ่งตัดส่วนประกอบที่ไม่จำเป็นออกไป เช่น ชิ้นผ้าจับจีบกรุยกราย ซึ่งเป็นที่นิยมในคริสตทศวรรษ 1980 แต่ยังคงรักษาความโก้หรูที่ช่วยเสริมรูปร่างของพระองค์และด้วยลุคเช่นนี้เองทำให้พระองค์กลายเป็นที่ตรึงตาตรึงใจไปทั่วโลก[262]

ไดอานาเปิดตัวในแวดวงหญิงสาวสังคมชั้นสูงเป็นครั้งแรก โดยการไปร่วมงานบอลล์แห่งหนึ่งเมื่อ พ.ศ. 2522 เธอสวมชุดเดรสเกาะอกสีฟ้าจับจีบลูกไม้ตาข่ายจากห้องเสื้อเรกามุส ซึ่งเป็นหนึ่งในห้องเสื้อยอดนิยมของชนชั้นสูงในอังกฤษ[253]

ตลอดระยะเวลา 16 ปีที่อยู่ในราชสำนัก พระองค์เลือกใช้เครื่องแต่งกายที่ออกแบบและตัดเย็บโดยดีไซเนอร์หลายราย อาทิเช่น แคเธอริน วอล์กเกอร์ วิกเตอร์ เอเดลสไตน์ จานนี เวอร์ซาเช จอร์โจ อาร์มานี คริสตินา สแตมโบเลียน แจสเปอร์ คอนแรน เดวิด และเอลิซาเบธ เอมานูแอล ฮาชิ จอห์น กาลลิอาโน[263] ราล์ฟ ลอเรน[264] คริสติย็อง ลาครัวซ์[261] บรูซ โอลด์ฟิลด์[265] ฌัก อาซากูรี[266] เดวิด แซสซูน[244] เมอร์เรย์ อาร์เบด[259] จิมมี ชู[267] นอกจากนี้พระองค์ยังโปรดเครื่องแต่งกายจากบริษัทแฟชันชั้นนำ ได้แก่ เวอร์ซาเช อาร์มานี ชาแนล ดิออร์ และ คลาร์กส์[253][256][264][265] 

ในบรรดาฉลองพระองค์ชุดราตรีที่ทรงสวมใส่ มีชุดที่โด่งดังของพระองค์ คือ 1. ชุดราตรีเกาะอกสีดำที่ทรงสวมไปร่วมงานคอนเสิร์ตการกุศลใน พ.ศ. 2524 ขณะยังเป็นพระคู่หมั้น[261] 2. ชุดค็อกเทลของคริสตินา สแตมโบเลียน มีฉายาว่า “เดรสแก้แค้น” ซึ่งทรงสวมใส่ไปร่วมงานการกุศลในวันเดียวกับที่รายการโทรทัศน์แพร่เทปสัมภาษณ์คำสารภาพสัมพันธ์รักเจ้าชายชาลส์และคามิลลา ปาร์เกอร์ โบลส์[268] 3. ชุดราตรีกำมะหยี่สีน้ำเงินรัตติกาลของวิกเตอร์ เอเดลสไตน์ ซึ่งพระองค์สวมไปร่วมงานเลี้ยงรับรองที่ทำเนียบขาว และได้ร่วมเต้นรำกับนักแสดงฮอลลีวูด จอห์น ทราโวลตา และต่อมาชุดนี้ถูกเรียกว่า "ทราโวลตาเดรส"[244][259][253] และ 4. ชุดราตรีเกาะอกปักมุกพร้อมเสื้อแจ็กเก็ตปักมุก หรือเป็นที่รู้จักในนาม “เอลวิสเดรส”[265][259] โดยแคเธอริน วอล์กเกอร์ ซึ่งพระองค์ทรงสวมใส่เป็นครั้งแรกระหว่างการเสด็จเยือนอาณานิคมฮ่องกง เมื่อ พ.ศ. 2532[251][269] 

ในปีแรก ๆ ของคริสต์ทศวรรษ 1980 พระองค์โปรดฉลองพระองค์เสื้อคอปกลายดอกไม้ เสื้อคอจีบ และใช้สร้อยไข่มุกเป็นเครื่องประดับ[253][259][270] และทำให้เสื้อผ้าแบบดังกล่าวและไข่มุกกลายเป็นเทรนด์แฟชันของยุคนั้น[253] ภายหลังการประกาศหมั้นของพระองค์  นิตยสารโว้กตีพิมพ์ภาพระฉายาลักษณ์ไดอานาในชุดเสื้อชีฟองสีชมพูอ่อนและคอริบบินผ้าซาติน และเสื้อชีฟองตัวนี้ถูกลอกเลียนแบบและผลิตซ้ำอย่างรวดเร็ว และยังขายหมดเกลี้ยงภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน[259] การปรากฏพระองค์ด้วยฉลองพระองค์ไหล่กว้างและเนื้อผ้าหรูหรา ทำให้สื่อมวลชนเรียกพระองค์ว่า “Dynasty Di”[271][244][251]

ในเวลาต่อมาหลังทรงแยกกันอยู่และหย่าร้าง ไดอานาทรงมีความมั่นใจในด้านแฟชันเพิ่มมากขึ้น[244][255][261][272] และทรงเปลี่ยนสไตล์การแต่งกายของพระองค์ ในการเสด็จฯ ไปประกอบพระกรณียกิจที่เป็นทางการ ทรงเลือกสวมใส่เสื้อเบลเซอร์ ชุดราตรีเปิดไหล่ข้างเดียว ชุดราตรีเกาะอก ชุดสูทสองสี ชุดสูทแบบทหาร และชุดเครื่องแต่งกายสีนู้ด[255] นอกจากนี้ทรงทดลองแฟชันด้วยการแต่งกายหลายแบบ เช่น ทรงสวมเสื้อเชิ้ตขาวและกางเกงยีนส์ เดรสลายสกอต จัมพ์สูท และเดรสเข้ารูป[273][274][255]

หลังจากที่ทรงแยกกันอยู่และหย่าร้างในเวลาต่อมา ไดอานาทรงได้รับอิทธิพลการแฟชันการแต่งกายจากดารานางแบบผู้มีชื่อเสียงหลายคน เช่น ซินดี ครอว์ฟอร์ด, มาดอนนา, เอลิซาเบธ เทย์เลอร์[259] หลังจากที่สิ้นพระชนม์ ชุดเดรสจำนวนหนึ่งของพระองค์ถูกนำออกประมูลและจำหน่ายให้บรรดาผู้สะสมและพิพิธภัณฑ์มากมาย และเดรสเหล่านี้มักจะทำเงินได้มากถึงหลักแสนปอนด์เมื่อนำออกประมูล[264][275]

ทรงพระเกศาที่สั้นเป็นเอกลักษณ์ของพระองค์ ออกแบบโดย แซม แม็คไนท์ ภายหลังทรงเสร็จสิ้นการถ่ายภาพแฟชันนิตยสารโว้กเมื่อ พ.ศ. 2533 ซึ่งแม็คไนท์และเวอร์ซาเชลงความเห็นว่า พระเกศาสั้นสื่อถึงอิสรภาพของพระองค์[249] ก่อนเสด็จฯ ไปปฏิบัติพระกรณียกิจ ไดอานามักจะทรงแต่งพระพักตร์ด้วยพระองค์เองและมีช่างพระเกศามาประจำทุกครั้ง และพระองค์ทรงเคยตรัสกับแม็คไนท์ว่า “สิ่งเหล่านี้ (การแต่งพระพักตร์และแต่งพระเกศา) ไม่ได้ทำเพื่อตัวฉันเลยนะ แซม, ฉันทำเพื่อประชาชนที่ฉันไปหาหรือเพื่อคนที่เดินทางมาหา, พวกเขาไม่ต้องการพบฉันในแบบสบาย ๆ นอกเวลาทำงานหรอกนะ, เขาต้องการเจ้าหญิง, มาแปลงโฉมเป็นเจ้าหญิงตามที่พวกเขาต้องการเถอะ”[249]

พ.ศ. 2532 ไดอานาได้รับการเสนอชื่อให้เป็นหนึ่งในสตรีผู้แต่งกายดีที่สุดในโลก[276] พ.ศ. 2547 นิตยสารพีเพิล ยกย่องให้พระองค์เป็นหนึ่งในสตรีที่งดงามที่สุดตลอดกาล[277] และ พ.ศ. 2555 นิตยสารไทม์จัดลำดับให้ไดอานาอยู่ในรายชื่อ 100 แฟชันไอคอนตลอดกาล[278]

ประติมากรรมรูปปั้นครึ่งพระองค์ในกรุงเวียนนา

พ.ศ. 2559 ชาร์มาดีน รีด แฟชันดีไซเนอร์ ออกแบบคอลเลกชันเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเพื่อจำหน่ายบนเว็บไซต์ ASOS.com[279] โดยได้รับแรงบันดาลใจจากสไตล์การแต่งกายของไดอานา ชาร์มาดีนแถลงผ่านสื่อว่า “พระองค์ทรงมีความผูกพันอย่างไม่น่าเชื่อกับชุดกีฬาธรรมดา ๆ กับเสื้อผ้าแฟชันสุดหรู และนี่จึงเป็นที่มาของคอลเลคชันนี้ และให้ความทันสมัยกว่าที่เคยมีมา”[270]

เดือนกุมภาพันธ์ มีการเปิดนิทรรศการแสดงฉลองพระองค์ของไดอานาที่พระราชวังเคนซิงตัน แคเธอริน เบนเน็ต แห่งหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน วิจารณ์ว่า นิทรรศการแสดงเครื่องแต่งกายเช่นนี้เป็นหนึ่งในวิธีการเหมาะสมกับการระลึกถึงบุคคลสาธารณะที่ประสบความสำเร็จในด้านใดด้านหนึ่ง ผ่านมุมมองด้านแฟชันและการแต่งกาย แต่คุณงามความดีที่ไดอานาได้มอบให้แก่สังคมนั้นยังคง “น่ากังขา”[280]

อนุสรณ์รำลึก

เมื่อสำนักพระราชวังบักกิงแฮมออกประกาศไดอานาสิ้นพระชนม์ ประชาชนหลายเชื้อชาตินำดอกไม้และจุดเทียนเพื่อไว้อาลัยหน้าประตูพระราชวังเคนซิงตันอย่างเนืองแน่น ในเวลาต่อมาได้มีการก่อสร้างอนุสาวรีย์หลายแห่ง ดังนี้

  • สวนอนุสรณ์ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ตั้งอยู่ภายในในรีเจนท์เซ็นเตอร์การ์เดนส์ เมืองเคอร์คินทิลล็อก ประเทศสกอตแลนด์
  • น้ำพุอนุสรณ์ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ตั้งอยู่ภายในไฮด์พาร์ก กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จฯ มาเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ
  • สนามเด็กเล่นอนุสรณ์ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ตั้งอยู่ภายในเคนซิงตันการ์เดนส์ กรุงลอนดอน
  • เส้นทางเดินอนุสรณ์ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ทางเดินวงแหวนเชื่อมระหว่างเคนซิงตันการ์เดนส์ กรีนพาร์ก ไฮด์พาร์ก และเซนต์เจมส์พาร์ก กรุงลอนดอน
  • ประติมากรรมรูปปั้นครึ่งพระองค์ ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ตั้งอยู่ภายในสวนชลอสโคเบนเซิล กรุงเวียนนา[281] 

ประติมากรรม "ฟลามม์เดอลาลิเบอร์เต" ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเหนือถนนลอดอุโมงค์สะพานปองต์เดอลัลมา กรุงปารีส ซึ่งอยู่ใกล้กับบริเวณที่พระองค์ประสบอุบัติเหตุ กลายเป็นอนุสรณ์อย่างไม่ทางการภายหลังการสิ้นพระชนม์[282][283] และนายโมฮัมเหม็ด อัลฟาเยด ได้จัดให้มีการแสดงสิ่งของที่ระลึกตั้งอยู่ภายในห้างสรรพสินค้าแฮร์รอดส์ ซึ่งครอบครัวอัลฟาเยดเป็นเจ้าของกิจการระหว่าง พ.ศ. 2528–2553 ได้แก่ รูปถ่ายของไดอานาและโดดี พร้อมรูปทรงปิรามิดบรรจุแก้วไวน์ที่ใช้ในพระกระยาหารเย็นมื้อสุดท้าย และแหวนหนึ่งวงที่โดดีเพิ่งมอบให้แก่พระองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ และใน พ.ศ. 2548 ประติมากรรมรูปหล่อทองแดง "อินโนเซนต์วิกทิม" ถูกนำมาจัดตั้งภายในห้างสรรพสินค้า ซึ่งเป็นรูปเหมือนไดอานาและโดดีเต้นรำใต้ปีกนกอัลบาทรอส[284]

บริษัทฮาร์กเนส ประเทศอังกฤษ ทำการปรับปรุงสายพันธ์กุหลาบ “Hardinkum”[285] ให้ดอกสีขาวนวลทรงกลีบดอก 2 ชั้น มีกลิ่นหอมกลางถึงหอมแรง ในเวลาต่อมาได้รับการตั้งชื่อว่า Rosa ‘Princess of Wales’ เพื่อเป็นการรำลึกพระภารกิจที่ทรงรับอุปถัมภ์สมาคมโรคปอดแห่งสหราชอาณาจักรเป็นเวลายาวนานกว่าสิบปี[286][287] และดอกกุหลาบขาวนี้เป็นดอกไม้ที่ไดอานาทรงโปรดปราน[287]

กุหลาบสายพันธุ์ Rosa,'Diana, Princess of Wales'

ฤดูร้อน พ.ศ. 2541 กุหลาบสายพันธุ์ Rosa ‘Diana, Princess of Wales’ ถูกนำเข้าไปปลูกครั้งแรก ณ สถานเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักร กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.[288]

พ.ศ. 2541 บริษัทไปรษณีย์อาเซอร์มาร์กาแห่งประเทศอาเซอร์ไบจาน จำหน่ายแผ่นตราไปรษณียากรที่ระลึกไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ โดยมีคำบรรยายภาษาอังกฤษว่า "DIANA, PRINCESS OF WALES The Princess that captured people's hearts (1961–1997)" “ไดอานา  เจ้าหญิงแห่งเวลส์ เจ้าหญิงผู้ครองหัวใจประชาชน (1961–1997) ”[289] และในปีเดียวกันนั้นหลายประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร โซมาเลีย คองโก และอาร์เมเนีย ได้จัดสร้างดวงไปรษณียากรที่ระลึกเจ้าหญิงแห่งเวลส์เช่นเดียวกัน[290][291]

พระนามต้นของพระองค์ “ไดอานา” ถูกนำมาใช้ในสร้อยพระนามของพระนัดดา เจ้าหญิงชาร์ลอตต์ เอลิซาเบธ ไดอานา (ประสูติเมื่อ พ.ศ. 2558)[292][293][294] และใช้ในสร้อยพระนามของพระภาติยะ[295] เลดี้ชาร์ลอตต์ ไดอานา (กำเนิดเมื่อ พ.ศ. 2555) ธิดาของชาลส์ สเปนเซอร์[296]

พ.ศ. 2560 เจ้าชายวิลเลียม และเจ้าชายแฮร์รี ทรงมอบหมายให้สร้างพระรูปปั้นเจ้าหญิงไดอานา พระมารดา เพื่อที่ระลึกในวาระครบ 20 ปีแห่งการสิ้นพระชนม์[213] และจะนำไปตั้งอยู่ภายในสวนเคนซิงตัน ทั้งสองพระองค์ทรงระบุว่า พระมารดาทรงเข้าถึงชีวิตจิตใจผู้คนมากมาย และทรงหวังว่า พระรูปปั้นนี้จะช่วยย้ำเตือนไปเยี่ยมชมพระราชวังเคนซิงตันให้รำลึกถึงชีวิตและผลงานของพระมารดา[213] โดยจะใช้ทุนทรัพย์ในการก่อสร้างผ่านการบริจาค และมีคณะกรรมการดำเนินการควบคุมการก่อสร้าง ประกอบด้วยเป็นพระสหายและที่ปรึกษาผู้ใกล้ชิดของเจ้าหญิง รวมทั้งพระเชษฐภคินี เลดี้ซาราห์ แมคคอร์เคอเดล[297] 

ใกล้เคียง

ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ไดอานา คิง ไดอานา รอสส์ ไดอานา ครอลล์ ไดอานา (ล่าขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า) ไดอานา เวลสลีย์ ดัชเชสแห่งเวลลิงตัน ไดอานา (แก้ความกำกวม) ไดอานา อัลวาเรช เปเรย์รา เดอ เมโล ดัชเชสที่ 11 แห่งคาดาวัล ไดอาน่า จงจินตนาการ ไดอาน่า แรนด์

แหล่งที่มา

WikiPedia: ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ http://www.haypost.am/view-lang-eng-product-591.ht... http://www.marieclaire.com.au/gallery/fashion/cann... http://www.news.com.au/heraldsun/story/0,21985,230... http://www.azermarka.az/en/search.php?misc=search&... http://canadiancrown.gc.ca/eng/1331832099895#a4 http://www.huffingtonpost.ca/2016/05/10/iconic-can... http://bbc.adactio.com/politics97/diana/blunt.html http://www.aparchive.com/metadata/UK-Various-Queen... http://www.apnewsarchive.com/1990/Prince-Charles-P... http://www.bbc.com/news/uk-38508089